REVIEW Marshall Woburn II ลำโพงที่บ่งบอกตัวตนและไลฟ์สไตล์อย่างมีระดับ
เดี๋ยวนี้จะซื้ออะไรทั้งที ดูแค่จุดประสงค์หลักของการใช้งานก็ยังไม่พอ นอกจากเรื่องคุณภาพแล้ว ยังมีเรื่องของรูปลักษณ์ดีไซน์ที่ต้องให้ความสำคัญอีกด้วย เพราะมีคุณภาพอย่างเดียวก็คงไม่ไหว ถ้าวางไว้แล้วขัดมู้ดกับบ้านก็น่าเสียดายแย่ และ ลำโพง ไอเทมที่เราเชื่อว่าหลายคนต้องมีติดบ้านไว้ ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลำโพงเสมอไป เพราะสามารถบ่งบอกตัวตนของเราได้ อย่าง Marshall Woburn II ที่เราหยิบมาแนะนำในวันนี้ก็สะท้อนทั้งตัวตนของแบรนด์ และนำเสนอสไตล์ของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ที่การันตีคุณภาพกว่า 60 ปี ดีไซน์คลาสสิกแต่ยังดูทันสมัย พลังเสียงที่ดุดัน ทรงพลัง ในแบบฉบับเฉพาะ Marshall ที่ชัดเจนที่สุด ด้วยคาเเรคเตอร์พิเศษให้เสียงที่ก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังฟังดนตรีสด รองการเชื่อมต่อที่ครบครันทั้ง Bluetooth 5.0 พร้อม Qualcomm aptX และ AUX, RCA ทำให้ Marshall Woburn II เป็นหนึ่งในลำโพงที่น่าสนใจ เหมาะกับไลฟ์สไตล์และสะท้อนตัวตนออกมาได้ดีที่สุด ว่าแล้วเรามาดูกันดีกว่าว่า “ขุมพลังเสียงแบบเพอฟอร์มเมอร์นักดนตรีผู้แข็งแกร่ง” ของ Marshall Woburn II จะเป็นยังไง เหมาะกับบ้านเราได้ขนาดไหน
ไฮไลท์เด็ด Marshall Woburn II
- Driver Type : Dynamic
- Frequency Range : 30-20,000 Hz
- Stereo/Mono : Stereo
- Maximum Sound Pressure Level : 110 dB @ 1 m
- Cabinet Principle : Bass-reflex
- Power Amplifiers : 50W Class D amplifier for the woofer 2 ตัว, 15W Class D amplifiers for the tweeters 2 ตัว
- Mains Input Voltage : 100-240 V
- Mains Frequency : 50-60 Hz
- แผงควบคุมด้านบน : Source button, Volume control, Bass control, Treble control, Play/Pause, Power
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.0, AUX 3.5mm, RCA
- ระยะเชื่อมต่อ Bluetooth : 10 m
- รองรับคำสั่งเสียง : ไม่รองรับ
- ไมโครโฟน : ไม่มี
- ขนาด : 400 x 310 x 200 mm
- น้ำหนัก : 8.55 kg
- Water Resistance : ไม่กันน้ำ
- Color : Black, White, Brown
- อุปกรณ์ภายในกล่อง : ลำโพง Marshall Woburn II, Quick start guide, Legal and safety information, สายไฟ
ดีไซน์สุดคลาสสิก เอกลักษณ์ฉบับ Marshall ที่เป็นมากกว่าลำโพง
เรียกได้ว่าทำออกมาได้สะดุดตากันตั้งแต่ดีไซน์ภายนอกเลยทีเดียว กับดีเทลสุดคลาสสิกที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกับเข้าดีไซน์ดั้งเดิมได้อย่างลงตัว มองแว้บแรกก็รู้เลยว่านี่คือลำโพงของ Marshall แน่นอน โดย Marshall Woburn II บุรอบตัวลำโพงด้วยหนังพิมพ์ลายอย่างดี
ตะแกรงครอบด้านหน้าลำโพงแบบ Salt & Pepper เป็นผ้าไวนิลสีเทาคุมโทนแบบมีเท็กซ์เจอร์ พร้อมประดับ Logo แบรนด์สีทองไว้บนกรอบไม้อย่างเด่นชัด
ด้านล่างยังมีแผ่นทองเหลืองสลักคำว่า “EST. 1962” ซึ่งเป็นปีที่ก่อตั้งแบรนด์ Marshall เอาไว้ด้วย บ่งบอกถึงการเป็นผู้นำด้านเสียงดนตรีมานานกว่า 60 ปี
Woburn II เป็นลำโพงรุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ Marshall ขนาดอยู่ที่ 400 x 310 x 200 มม. น้ำหนัก 8.55 กก. ไม่มีแบตเตอรี่ในตัว เวลาใช้งานต้องเสียบสายไฟเท่านั้น ซึ่งสายไฟนี้มีมาให้พร้อมใช้งานในกล่องเลย
และด้วยดีไซน์คล้ายแอมป์กีตาร์สุดเท่และดุดันนี้ ทำให้นอกจากจะใช้งาน Marshall Woburn II เป็นลำโพงแล้ว ยังสามารถใช้เป็นของแต่งบ้านเก๋ๆ ได้อีกด้วย รวมไปถึงกิจการต่างๆ อย่างร้านนั่งชิล คาเฟ่ ร้านอาหาร ก็เหมาะเหมือนกัน ช่วยทั้งสร้างบรรยากาศด้วยเสียงเพลง และบ่งบอกไลฟ์สไตล์ที่มีระดับไปในคราวเดียวกันเลย
ด้านบนลำโพงเป็นตำแหน่งของแผ่นทองเหลืองที่สลักชื่อรุ่น Woburn II เอาไว้ พร้อมแผงควบคุมต่างๆ ในดีไซน์ที่เสริมสไตล์ความเป็นนักดนตรีไปอีกขั้น
เริ่มจากพอร์ตเชื่อมต่อ AUX 3.5 มม. สำหรับใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครื่องเสียงอื่นๆ ที่รองรับ ตามด้วยปุ่ม Source สำหรับเลือกวิธีการเชื่อมต่อ ที่จัดมาให้แบบครบๆ ทั้ง Bluetooth 5.0, AUX และ RCA โดยเมื่อกดเลือกแล้วจะปรากฏไฟแสดงสถานะที่ด้านหน้าประเภทการเชื่อมต่อนั้นๆ ให้เราได้รู้ว่าขณะนี้เลือกเชื่อมไว้แบบไหน
ต่อมาเป็นลูกบิดปรับระดับเสียงต่างๆ ไล่ไปตั้งแต่ Volume ปรับความดังเสียง, Bass สำหรับปรับย่านเสียงเบส และ Treble ใช้ปรับย่านเสียงแหลม โดยมีไฟล้อมรอบลูกบิดแต่ละอัน ซึ่งแสดงถึงระดับที่เราปรับไว้นั่นเอง
จากนั้นคือปุ่ม Play/Pause แล้วปิดท้ายด้วยปุ่ม Power ที่ออกแบบมาเป็นก้านโยก สำหรับใช้เปิด-ปิดเครื่อง
มาดูด้านหลังลำโพงกันบ้าง เริ่มต้นด้วยชื่อแบรนด์ที่ถูกจัดไว้ตรงกลางอย่างโดดเด่น ข้างๆ เป็นช่องเสียบสายเบส ส่วนช่องเสียบสาย RCA 2 ช่อง (แบบแดง-ขาว) และช่องเสียบสายไฟจะอยู่ที่บริเวณด้านล่าง
มีคู่มือ Quick start guide และ Legal & Safety มาให้ในกล่อง
คุณภาพเสียงที่ทรงพลังยิ่งกว่า
จากชื่อเสียงของแบรนด์ที่เป็นหนึ่งในตำนานของผู้นำด้านเสียงดนตรีกว่า 60 ปีนั้น ก็การันตีได้แล้วว่าลำโพงตัวนี้มีคุณภาพเสียงที่ดีขนาดไหน Marshall Woburn II เป็นลำโพงสเตอริโอพร้อมระบบ Bass Reflex มากับลำโพงทวีตเตอร์ ขนาด 1 นิ้ว 2 ตัว และลำโพงซับวูฟเฟอร์ ขนาด 5.25 นิ้ว อีก 2 ตัว ทำงานโดยแอมป์คลาส D (Class D amplifier) ที่มีกำลังขับเสียงทั้งหมด 110W ย่านความถี่ตอบสนอง 30–20,000Hz ±6dB ระดับความดันเสียง 110dB SPL ที่ 1 เมตร
ให้เสียงที่ดุดัน ทรงพลัง และการแตะโทนเสียงแหลมได้อย่างคมชัด ให้เสียงเบสที่หนักแน่น และเสียงย่านกลางที่เคลียร์ใส รวมไปถึงตัวลำโพงที่ใช้วัสดุเป็นไม้ยังช่วยให้เสียงที่เป็นธรรมชาติอีกด้วย ขณะเดียวกันด้วยระบบ Bass Reflex ก็มาพร้อมพอร์ตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพที่ความถี่ต่ำ เหมาะกับการใช้งานในห้องขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ 100 ตรว. ซึ่งการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 Qualcomm aptX ใช้งานได้ที่ระยะเชื่อมต่อสูงสุด 10 เมตร และสามารถเชื่อมต่อได้พร้อมกัน 2 อุปกรณ์
อีกหนึ่งไฮไลท์คือนอกจากจะใช้งานเดี่ยวๆ แล้ว ยังรองรับการใช้งานเป็น ลำโพงคู่ อีกด้วย ไม่ว่าจะใช้ร่วมกับลำโพง Woburn II อีกตัว หรือจะเป็นลำโพงในตระกูลเดียวกันอย่าง Acton II และ Stanmore II ก็ได้เช่นกัน โดยเลือกโหมดการเล่นได้ 2 แบบ ทั้ง โหมดแอมเบียนท์ (Ambient Mode) ลำโพงสองตัวเล่นเพลงพร้อมกัน โดยลำโพงแต่ละตัวจะเล่นทั้งช่องซ้ายและขวา โหมดนี้เหมาะสำหรับกรณีที่ลำโพงแต่ละตัวตั้งอยู่ในระดับความสูง ทิศทาง หรือบริเวณที่แตกต่างกันในห้อง อีกโหมดคือ โหมดสเตอริโอ (Stereo Mode) ลำโพงสองตัวที่มีขนาดเท่ากัน จับคู่กันเป็นคู่สเตอริโอ โดยที่ลำโพงตัวหนึ่งจะเล่นช่องซ้าย ขณะที่ลำโพงอีกตัวจะเล่นช่องขวา เหมาะกับกรณีที่วางลำโพงไว้ในระดับความสูงเดียวกัน ทิศทางเท่ากัน หรือหันหน้าไปทางเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมี โหมดสแตนด์บาย (Standby Mode) ที่หากไม่ได้ใช้งานลำโพงเป็นเวลา 20 นาที ลำโพงจะเข้าสู่โหมดสแตนด์บายอัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงาน สามารถปลุกลำโพงด้วยการปุ่มหรือลูกบิดใดก็ได้บนแผงควบคุม หรือจะปลุกผ่านแอป Marshall Bluetooth ก็ได้เหมือนกัน
เสียงที่ปรับแต่งได้ในสไตล์เรา
นอกจากลูกบิดบนแผงควบคุมที่อยู่ด้านบนตัวลำโพงแล้ว เรายังสามารถปรับแต่งเสียงดนตรีให้ออกมาเป็นแบบที่เราต้องการ และเหมาะกับพื้นที่หรือสถานการณ์ขณะนั้นๆ ได้ ผ่านแอป Marshall Bluetooth ได้อีกด้วย
มากกว่าการปรับ EQ เรายังสามารถใช้งานแอปนี้เพื่อควบคุมการเล่นเพลง เลือกวิธีเชื่อมต่อ ปลุกลำโพง เปลี่ยนชื่ออุปกรณ์ ดูรายละเอียดและคู่มือใช้งาน อัปเดตซอฟต์แวร์ และจับคู่ลำโพงสองตัวเข้าด้วยกันตามที่กล่าวไปในหัวข้อที่แล้ว
สรุป
เรียกได้ว่าเป็นลำโพงที่จัดเต็มทั้งดีไซน์ และคุณภาพเสียงที่แสนทรงพลังจริงๆ แถมนอกจากจะใช้เป็นลำโพงไว้ฟังเพลงเพลินๆ แล้ว เวลาที่ไม่ได้ใช้งาน ตั้งไว้เฉยๆ ก็ยังเป็นเสมือนของแต่งบ้านชิ้นหนึ่ง ที่เสริมลุคให้เราดูเป็นคนมีสไตล์ได้อีกด้วย Marshall Woburn II Black ราคาพิเศษ 26,990.- (ปกติ 29,480.-) เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ร้าน Studio 7 ทุกสาขา พร้อมดีลสุดฮอต ซื้อ 1 ได้ถึง 2 รับฟรี Marshall Mode EQ มูลค่า 2,490.- เมื่อซื้อ Marshall Woburn II Black (รับสิทธิ์ได้ทั้งหน้าสาขาและช่องทางออนไลน์)
พร้อมผ่อนสบายๆ 0% นาน 36 เดือนกับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เริ่มต้นเพียงเดือนละ 750.- (เฉพาะการซื้อผ่านหน้าสาขา) ใครที่ลังเลอยู่ขอบอกว่ารีบด่วน โปรคุ้มๆ แบบนี้มีให้ช้อปตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2565 เท่านั้นนะ
Marshall Woburn II Black ช้อปออนไลน์ได้ที่
ก่อนจากกันไหนๆ ก็มากับดีลแถม Marshall Mode EQ ทั้งที เราขอรีวิวให้ฟังกันสั้นๆ แล้วกันว่าหูฟังตัวนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจอะไรบ้าง
Marshall Mode EQ หูฟัง In-Ear ที่อยากให้ลองสัมผัส ด้วยดีไซน์โมเดิร์นที่เป็นเอกลักษณ์ ดูดุดัน แต่ยังมีกลิ่นอายของความเป็นผู้ดีเก่า โทนสีดำ-เทา ตัดด้วยการเคลือบทองดูหรูหรา เสริมความพรีเมียมและคลาสสิก กำลังขับจากไดรฟ์เวอร์ MOVING COIL DYNAMIC ขนาด 9 มม.
ไฮไลท์เด็ดอยู่ที่ MODE EQ SWITCH ที่สามารถปรับแต่ง ลดเร่งเสียง Equalizer ในช่วงความถี่ต่ำได้ ซึ่งปุ่มสลับ EQ Mode นี้จะอยู่บนสายหูฟัง เมื่อกดแล้วจะเป็นการเพิ่มเสียงเบส (Boost Bass) ทำให้ได้เสียงเบสเพิ่มมากขึ้น ชัดขึ้น เสียงร้องขยับขึ้นมานิดๆ ไม่เสียดหู ปลายแหลมที่ชัดเจนไม่สาก เหมาะกับการฟังเพลงแนว Rock, Metal, EDM, Pop สุดๆ มาพร้อมกับ L-PLUG ขนาด 3.5mm มีรีโมทและไมโครโฟนในตัว สามารถสนทนารับสายได้ ซึ่งเพลงจะหยุดอัตโนมัติเมื่อมีสายเข้า